สมัยประวัติศาสตร์ชาติตะวันตก
แบ่งออกเป็น 4 สมัย ดังนี้
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแหล่งอารยธรรมตะวันตกสมัยโบราณได้
2. วิเคราะห์ลักษณะอารยธรรมตะวันตกสมัยโบราณด้านการเมืองการปกครอง
ศิลปวัฒนธรรม และสังคมได้
3. ยกตัวอย่างผลงานด้านศิลปวัฒนธรรมของอารยธรรมตะวันตกสมัยโบราณที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันได้
ข้อมูลเบื้องต้น
ประวัติศาสตร์สมัยโบราณของชาติตะวันตก
เริ่มตั้งแต่เมื่อชนชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ตัวอักษรรูปลิ่ม หรือตัวอักษรคูนิฟอร์ม
( Cuneiform ) ขึ้นใช้เมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตร์ศักราช
และสิ้นสุดลงเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย เพราะถูกรุกรานโดยพวกอนารยชนเผ่าเยอรมัน
ในปี ค.ศ.476 มีการก่อตัวของ อารยธรรมโดยถ่ายทอดสืบต่อกันมาเริ่มตั้งแต่
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก และโรมัน ตามลำดับ
|
|||
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
กำเนิดขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำ 2 สายคือ แม่น้ำไทกรีส และแม่น้ำยูเฟรตีส
ปัจจุบันอยู่ในประเทศอีรัก เป็นแหล่งอารยธรรมแห่งแรกของโลก มนุษย์ในอารยธรรมนี้
มักมองโลกในแง่ร้าย เพราะสภาพภูมิประเทศไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต
ทำให้เกรงกลัวเทพเจ้า คิดว่าตนเองเป็นทาสรับใช้เทพเจ้า
จึงสร้างเทวสถานให้ใหญ่โตน่าเกรงขาม เป็นสัญลักษณ์ที่ประทับของเทพเจ้าต่าง ๆ
มีชุมชนหลายเผ่าตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ ที่สำคัญได้แก่ สุเมเรียน อะมอไรต์
อัสซีเรียน คาลเดีย และชนชาติอื่น ๆ
สุเมเรียน (Sumerian)
เป็นชนเผ่าแรกที่มีอำนาจครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมียในบริเวณแถบลุ่มแม่น้ำไทกรีส
และแม่น้ำยูเฟรตีส สิ่งที่นับเป็นอารยธรรม ได้แก่
·
มีระบบการปกครองที่เรียกว่า นครรัฐ เช่น
เมืองอูร์ ( Ur ) อีเรค ( Erech ) ลากาซ ( Lagash )
·
วรรณกรรม มหากาพย์เรื่องแรกของโลก คือ กิลกาเมซ (
Epic of Gilgamesh ) เป็นเรื่องของการผจญภัยของวีรบุรุษที่แสวงหาชีวิตอันเป็นอมตะ
และกล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก
·
มีความรู้ด้านคณิตศาสตร์ เช่น
o รู้จักการใช้จำนวนที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วนย่อยได้มาก
ๆ เช่น จำนวน12,24,60,90,360
o การกำหนดมาตรา
ชั่ง ตวง วัด
o รู้จักวิธี
คูณ หาร ยกกำลัง ถอดรากกำลังที่สองและที่สาม
o การคำนวณหาพื้นที่ของวงกลม
อักษรคูนีฟอร์ม (Cuneiform)
ซิกกูแรต (Ziggurat)
อะมอไรต์ (Amorite)
|
|||
|
ได้จัดตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย
ขึ้นมาซึ่งเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งมีการปกครองแบบศูนย์รวม มีการเก็บภาษีอากร
การเกณฑ์ทหาร รัฐควบคุมการค้าอย่างใกล้ชิด ผลงานสำคัญได้แก่ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
( The Code of Hammurabi ) ยึดถือหลัก
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ( an eye for an eye , a tooth for a tooth ) ในการลงโทษ กล่าวคือ ให้ใช้การทดแทนความผิดด้วยการกระทำอย่างเดียวกัน เป็นแบบอย่างของความพยายามที่จะให้เกิดความยุติธรรมในการปกครอง นับเป็น กฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก |
|
|
อัสซีเรีย (Assyrian)
|
|||
ได้เข้ายึดครองกรุงบาบิโลนและอาณาจักรต่างๆ
ในเอเชียไมเนอร์ อัสซีเรียเป็นนักรบที่กล้าหาญ มีศูนย์กลางการปกครองที่
เมืองนิเนเวห์ ( Nineveh ) ผลงานที่สำคัญ
ได้แก่
·
การสลักภาพนูนต่ำ ( base relief ) เป็นมรดกทางศิลปกรรมที่สำคัญ
แสดงภาพเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของชาวอัสซีเรีย ได้แก่ การล่าสัตว์ การทำสงคราม
ศิลปวัฒนธรรมเจริญสูงสุดในสมัยพระเจ้าอัสซูร์บานิปาล
·
ห้องสมุดนิเนเวห์
มีการเก็บรวบรวมงานเขียนที่เป็นแผ่นจารึกต่าง ๆไว้ถึง 22,000 แผ่น
นับเป็นห้องสมุดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสมัยนั้น สร้างโดยพระเจ้าอัสซูร์บานิปาล
|
ตัวอย่างลักษณะของภาพสลักนูนต่ำ |
||
คาลเดีย (Chaldean)
|
|||
|
เป็นชนเผ่าฮีบรู
ที่เข้ายึดกรุงนิเนเวห์ได้สำเร็จและสถาปนา บาบิโลน ขึ้นเป็นนครหลวงอีกครั้ง
จัดตั้งเป็นอาณาจักร
บาบิโลเนียใหม่ มีผลงานสำคัญ ได้แก่
·
สวนลอยแห่งบาบิโลน ( Hanging Gardens of
Babylon ) สร้างในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์
ซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ของโลกยุคโบราณ
เพราะสามารถใช้ความรู้ในการชลประทานทำให้สวนลอยแห่งนี้เขียวขจีได้ตลอดปี
สวนลอยแห่งบาบิโลน ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรตีส ทางตอนใต้ของกรุงแบกแดด
ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนซซาร์ ( Nebuchadnezzar) แห่งกรุงบาบิโลเนีย
เพื่อเป็นอุทยานพักผ่อนสำหรับพระมเหสีของพระองค์ เมื่อประมาณ 50 ปี
ก่อนพุทธกาลหรือประมาณ 2600 ปีมาแล้ว
สวนลอยบาบิโลนไม่ได้ลอยหรือแขวนอย่างชื่อ
แต่เป็นสวนที่สร้างขึ้นสูงจากพื้นดินประมาณ 25 เมตร
กว้าง 120 เมตร เหมือนลอยอยู่ในอากาศ สร้างเป็นชั้นๆ
ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ และพืชพันธุ์ต่างๆ สวยงามวิจิตรตระการตา
ดั่งสวรรค์ของเหล่าเทวดาและนางฟ้า มีกำแพงล้อมรอบประดับประดาด้วยกระจกสี
มีระบบทดน้ำจากแม่น้ำยูเฟรตีสขึ้นไปยังชั้นบน แล้วปล่อยให้ไหลลงมาสู่ชั้นล่างๆ
เกิดความชุ่มชื้นแก่ต้นไม้ ทำให้สวนแห่งนี้สวยสดงดงามตลอดปี
จนเป็นที่กล่าวขวัญและยกย่องในความมหัศจรรย์ไปทั่วแผ่นดิน แต่ปัจจุบัน
สวนลอยแห่งนี้ทรุดโทรมและสูญสลายไปหมดแล้ว
·
มีความรู้ด้านดาราศาสตร์ สามารถพยากรณ์สุริยุปราคา
, คำนวณเวลาการโคจรของดวงอาทิตย์ในรอบปีได้อย่างถูกต้อง
|
|
|
(ที่มา http://www.skb.ac.th)
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายสภาพทั่วไปของยุโรปสมัยกลางได้
2. วิเคราะห์ลักษณะอารยธรรมตะวันตกสมัยกลางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ
ศิลปวัฒนธรรมและสังคมได้
ประวัติศาสตร์สมัยกลางของชาติตะวันตก
เริ่มตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในปี ค.ศ. 476 และสิ้นสุดในปีที่
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบทวีปอเมริกา ในปี ค.ศ.1492 สมัยกลาง
หรือ ยุคมืด เป็นระยะที่อารยธรรมกรีก-โรมัน เสื่อมลง
โดยการรุกรานของอนารยชนเผ่าเยอรมัน
สภาพทั่วไปในระยะแรก ๆ ของสมัยกลาง
1. ดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป
แตกแยกเป็นแว่นแคว้น โดยการรุกรานของชนเผ่าเยอรมัน
2. คริสตจักรเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง ศิลปะวิทยาการ โดยมี พระสันตะปาปา ที่ นครวาติกัน
เป็นผู้นำ
3. เกิดระบบศักดินาสวามิภักดิ์
หรือ ระบบฟิวดัล ซึ่งคนในสังคมมีความสัมพันธ์แบบเจ้าของที่ดิน
( Land Lord ) กับผู้รับมอบให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ( Vassal
) ผู้รับมอบที่ดินต้องจงรักภักดีต่อเจ้าของที่ดิน
มีการแบ่งชนชั้นคนในสังคมออกเป็น
§
ชนชั้นปกครอง ได้แก่
กษัตริย์ ขุนนาง อัศวิน พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ดิน มีความเป็นอยู่หรูหรา
§
สามัญชน ประกอบด้วย
ชาวนาอิสระ และ ทาสที่ติดที่ดิน ( Serf )ชาวนาอิสระคือ
ชาวนาที่เป็นเจ้าของที่ดินขนาดเล็ก ส่วนทาสติดที่ดินคือ
ชาวนาที่อาศัยอยู่ตามที่ดินผืนใหญ่ของเจ้าของที่ดิน ต้องแบ่งเวลาทำงาน
ต้องส่งส่วยผลิตผลให้เจ้าของที่ดิน เมื่อมีการโอนสิทธิ์ที่ดิน
ทาสจะติดที่ดินนั้นไปด้วย
§
พระ มีบทบาทมากในสังคมสมัยกลาง
วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นศูนย์กลางของความเชื่อ
ความศรัทธาในศาสนาของประชาชน
4. พื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรม ทรัพยากรที่สำคัญคือ ที่ดินและแรงงาน
5. ระบอบการปกครองเป็นแบบกษัตริย์แต่อำนาจอยู่กับขุนนางมากกว่า
นักประวัติศาสตร์ยกย่องให้ “สมัยกลาง” เป็นอู่อารยธรรมของยุโรป
ที่สำคัญ ได้แก่
1. การเกิดลัทธิมนุษยนิยม
( Humanism ) ผู้คนมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีอิสระทางความคิด
ไม่งมงายกับความเชื่อทางศาสนา
หรือตกอยู่ภายใต้การครอบงำของคริสตจักรเหมือนดังแต่ก่อน
2. การศึกษา มีการตั้งมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าเผยแพร่ความรู้
เช่นมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษ มหาวิทยาลัยปารีสในฝรั่งเศสมหาวิทยาลัยโบโลญาในอิตาลี
3. สถาปัตยกรรม
สะท้อนถึงความศรัทธาในคริสต์ศาสนา โดยมีการสร้างวัดและมหาวิหารมากมาย เช่น
o
ศิลปะแบบโกธิก เช่น
มหาวิหารโนตรดาม , มหาวิหารแซงค์ ชาแปลล์ ในฝรั่งเศส
มหาวิหารออร์เวียตโต ในอิตาลี วิหารลินคอล์น ประเทศอังกฤษ
4. จิตรกรรม
เป็นการเขียนภาพแบบ เฟรสโก ( Fresco ) โดยเขียนภาพลงบนปูนฉาบฝาผนังที่ยังเปียกอยู่
และงานประดับหินโมเสก
5. วรรณกรรม
เน้นเรื่องราวความเชื่อในคริสต์ศาสนา และวรรณกรรมทางโลก แต่งเป็นภาษาละติน เช่น
o
“เทวนคร” ( The City of God ) เขียนโดยนักบุญออกัสติน
เป็นวรรณกรรมทางศาสนา
ที่มีอิทธิพลต่อแนวความคิดของคริสต์ศาสนิกชนในสมัยกลางมากที่สุด
o
“มหาเทววิทยา” ( Summa Theologica
) เขียนโดยนักบุญทอมัส อะไควนัส
ใช้สอนในวิชาเทววิทยาในมหาวิทยาลัย
มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างมีเหตุผล
6. วัฒนธรรมและสถาบันพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
o
เกิดสมาคมพ่อค้าและช่างฝีมือ “กิลด์”
( Guild )
o
การจัดงานแสดงสินค้า ( fair ) การเกิดระบบธนาคารรับฝากและกู้ยืมเงิน
การใช้เลขอารบิกในการทำบัญชีการค้า
|
|
วิหารโนตรดาม
ภาพประดับหินโมเสก
หอเอนแห่งเมืองปิซา
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายสาเหตุและผลของการสำรวจเส้นทางเดินเรือของชาติตะวันตกได้
2. อธิบายสาเหตุและผลของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อการเมือง
การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมได้
3. วิเคราะห์แนวคิดของนักปราชญ์ในคริสต์ศตวรรษที่18 ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครองได้
4. วิเคราะห์การสร้างสรรค์พัฒนาการด้านศิลปวัฒนธรรมของยุโรปสมัยใหม่ได้
ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่
|
|||
เริ่มตั้งแต่ปีที่คริสโตเฟอร์
โคลัมบัส ( Christopher Columbus ) ค้นพบโลกใหม่หรือทวีปอเมริกา
และสิ้นสุดลงในปีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงยุโรปสมัยใหม่ เป็นสมัยแห่งการฟื้นฟูอารยธรรมกรีก-โรมัน
และมีการพัฒนาทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปะวิทยาการ
เป็นยุคที่มีอารย
ธรรมเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
และแพร่ไปยังดินแดนต่างๆ
|
|||
|
|||
|
รูปปูนปั้นนูนสูงบนประตูชัยกรุงปารีส
|
|
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองของยุโรปในช่วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่
|
|
่ 1.การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
( Renaissances ) ทำให้ยุโรปกลายเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
2.การสำรวจเส้นทางเดินเรือ โดยมุ่งหมายทางการค้าและการเผยแผ่คริสต์ศาสนา
3.การเกิดชนชั้นกลาง
(พ่อค้า) เข้ามาควบคุมเศรษฐกิจแทนพวกขุนนางในระบบฟิวดัล และสนับสนุนกษัตริย์
ในด้านการปกครอง ทำให้ฐานะกษัตริย์เข้มแข็ง
4.ความก้าวหน้าทางด้านการพิมพ์ มีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ได้สำเร็จ
ทำให้มีการพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้และวิทยาการใหม่ๆออกไปอย่างรวดเร็ว
|
||
|
|||
|
1.การฟื้นฟูศิลปวิทยาการของกรีกและโรมัน
( Renaissances ) นำความรู้วิธีคิด
ใช้ปัญญาและเหตุผลตามแบบอย่างนักปราชญ์ชาวกรีก
ให้ความสำคัญกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือเป็นลักษณะยุคมนุษย์นิยม
|
|
โบสถ์ในคริส์ตศาสนา นิกายโรมันคาทอริก
|
|
2.การปฏิรูปศาสนา เกิดการแบ่งแยกศาสนจักรเป็น
2 นิกายใหญ่ๆ คือ
2.1.นิกายโรมันคาทอริก
มีศูนย์กลางที่กรุงโรม มีพระสันตะปาปา ( Pope ) เป็นประมุข
2.2.นิกายโปรแตสแตนท์
แบ่งเป็นนิกายย่อยๆอีกหลายนิกาย นับถือในประเทศต่างๆ เช่น นิกายอังกฤษ ( Church
of England ) และนิกายลูเธอร์ ( Lutheranism ) ในเยอรมนี
|
|
|
|
3.การขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก
ยุคกลาง
มีการค้าระหว่างยุโรปกับเอเชีย ผ่านทางทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนและตะวันออกกลาง
โดยอิตาลีได้เปรียบประเทศอื่น สามารถควบคุมเส้นทางการค้าเกือบทั้งหมด ทำให้อังกฤษ
ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา พยายามทำลายการผูกขาดนี้
ประจวบกับชาวยุโรปส่วนหนึ่ง เบื่อชีวิตที่อยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของสันตะปาปา
จึงคิดอพยพไปตายเอาดาบหน้าเพื่ออิสระในการนับถือศาสนา
เป็นเหตุหนึ่งในการออกสำรวจแสวงหาเส้นทางการเดินเรือใหม่ และเส้นทางการค้าทางบกของชาวยุโรปกับตะวันออก
ตกอยู่ในมือของพ่อค้าชาวมุสลิม ทำให้ชาวยุโรปต้องการหาเส้นทางการค้าใหม่ก็คือ
ค้าขายทางทะเลเท่านั้น การติดต่อของชาวยุโรปและโลกตะวันออกจากการค้า
ทำให้ชาวยุโรปมีโอกาสสัมผัสกับอารยธรรมของโลกตะวันออก วิชาความรู้ต่างๆ ของกรีกและมุสลิม
หลั่งไหลมาสู่สังคมตะวันตก ทำให้ปัญญาชนเริ่มทบทวนและตรวจสอบความรู้ของตน
ตลอดจนเกิดการท้าทายคำสอนศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาในสมัยกลางถึงเรื่องโลกแบน
ความรู้ทางภูมิศาสตร์และแผนที่ของปโตเลมี (Ptolemy) นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวกรีก
ที่แสดงให้เห็นดินแดนที่กว้างใหญ่ ความต้องการสำรวจเส้นทาง โดยเฉพาะทางเรือ
จึงเพิ่มขึ้น
3.2.การค้นพบดินแดนทางตะวันออกของชาติตะวันตก
-บาร์โธโลมิว
ไดแอส ชาวโปรตุเกสสามารถเดินเรือเลียบทวีปแอฟริกาจนเข้าแหลม กู๊ดโฮม ได้สำเร็จใน
ค.ศ.1488
-วาสโก
ดา กามา ใช้เส้นทางของไดแอส จนถึงเอเชีย และสามารถขึ้นฝั่งที่เมืองคาลิกัต
ของอินเดียและสามารถซื้อเครื่องเทศโดยตรงจากอินเดีย
นำกลับไปขายในยุโรปได้กำไรมากมาย
-คริสโตเฟอร์
โคลัมบัส ชาวอิตาลีรับใช้กษัตริย์สเปนในการสำรวจเส้นทางเดินเรือไปประเทศจีน
เป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา และเป็นผู้เชื่อว่าโลกมีสัณฐานกลม
ไม่แบนตามคำสอนของคริสต์ศาสนา ในสมัยกลาง
-เฟอร์ดินานด์
มาเจลแลน ชาวโปรตุเกส รับอาสากษัตริย์สเปน
หาเส้นทางเดินเรือมายังตะวันออกจนสามารถเข้าฟิลิปปินส์แต่เขาถูกชาวพื้นเมืองฆ่าตาย
แต่ลูกเรือสามารถนำเรือกลับมาสเปนได้
ยุคนี้ได้ชื่อว่ายุคแห่งการค้นพบ (
Age of Discovery) การค้นพบดินแดนต่างๆทำให้ ฮอลันดา อังกฤษ
และต่อมาฝรั่งเศส เข้ามาสร้างอิทธิพลครอบครองดินแดนทางตะวันออก และทำให้เกิด ลัทธิจักรวรรดินิยม
|
|
โคลัมบัส
ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา
คริสโตเฟอร์
โคลัมบัส
|
|
ปัญญาชนชาวตะวันตกให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าจนเกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์แขนงต่างๆ
โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และจากการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ของ โยฮัน
กูเตนเบอร์ก ชาวเยอรมัน
ทำให้วิทยาการความรู้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เกิดจากแนวความคิดที่สำคัญ
2 ประการ คือ
1. แนวคิดมนุษยนิยม
( Humanism ) ซึ่งได้รับมาจากหลักปรัชญาของชาว
กรีกโดยสอนให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นในความสามารถของมนุษย์
สติปัญญาของมนุษย์สามารถนำมนุษย์ไปสู่การค้นหาความจริงของสรรพสิ่งต่างๆ ในโลก
2. แนวคิดในปรัชญาธรรมชาตินิยม
( Naturalism ) สอนให้เชื่อว่าสิ่งต่างๆ
ล้วนดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
ธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวมนุษย์นั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าและทดลอง จนเกิดองค์ความรู้ใหม่เรียกว่าเป็น ยุคแห่งภูมิธรรม
หรือ ยุคแห่งการรู้แจ้ง (The Enlightenment)
นักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่
นิโคลัส
โคเปอร์นิคัส ค้นพบทฤษฎีระบบสุริยจักรวาล ที่มีสาระสำคัญคือ
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ โคจรโดยรอบ
ซึ่งขัดแย้งกับหลักความเชื่อของคริสตจักรอย่างมาก
ที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ความคิดของโคเปอร์นิคัส
เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
กาลิเลโอ ผู้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์
( Telescope ) ทำให้ความรู้เรื่องระบบสุริยจักรวาลชัดเจนยิ่งขึ้น
เซอร์ไอแซค
นิวตัน ผู้ค้นพบ 2 ทฤษฎีคือ
กฎแรงดึงดูดของจักรวาล และกฎแห่งความโน้มถ่วง
|
|
กาลิเลโอ
กาลิเลโอ ผู้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ (Telescope)
|
|
|||
|
มีเหตุการณ์สำคัญ ได้แก่
1.1 เป็นยุคที่เปลี่ยนวิธีการผลิตสินค้าจากใช้แรงงานคนและสัตว์มาใช้เครื่องจักร
1.2 ประเทศแรกที่บุกเบิกคืออังกฤษโดยอุตสาหกรรมแรกที่มีการปฏิวัติ
คืออุตสาหกรรม การทอผ้า
|
|
เครื่องจักรกลไอน้ำ
ของ เจมส์ วัตต์
เจมส์
วัตต์
|
|
2.การเกิดแนวความคิดทางการเมือง
และเศรษฐกิจแบบใหม่
- การปกครองระบอบประชาธิปไตย
มีนักปราชญ์ที่เสนอแนวคิด ดังนี้
จอห์น ล๊อค ชาวอังกฤษกล่าวว่า
มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและ มีอิสระไม่มี
ผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจในการคุกคามชีวิตเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้อื่นได้
มองเตสกิเออ ชาวฝรั่งเศส
ได้เขียนหนังสือเรื่อง เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ( The
Spirit of Laws ) เสนอความคิดการแบ่งแยกอำนาจ คือ นิติบัญญัติ
บริหาร ตุลาการ
เขาเชื่อว่าหากแยกอำนาจสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะได้รับการคุ้มครอง
แต่ถ้าอำนาจทั้ง 3นี้รวมกันอยู่ในองค์การเดียวกัน
อาจจะทำให้เกิดการกดขี่ประชาชน
วอลแตร์ ชาวฝรั่งเศส
เป็นนักคิดและมีผลงานด้านการเขียนมากมายให้ความสำคัญแก่เสรีภาพในการพูดและการนับถือศาสนา
ต่อต้าน ความอยุติธรรมในสังคม แต่ในด้านการเมืองไม่เคยแสดงความคิดเห็น
อย่างชัดเจน จึงไม่มีทฤษฎีการเมืองที่แน่นอน
รุสโซ ชาวฝรั่งเศส
ผลงานหนังสือที่สำคัญคือ สัญญาประชาคม ( The Social
Contract ) ข้อความที่จับใจคนเป็นจำนวนมากคือ “มนุษย์ทุกคนเกิดมามีอิสระ
แต่ทุกหนทุกแห่งเขาถูกพันธนาการ” รุสโซ เน้นเรื่องเจตจำนงร่วมกันของประชาชน( General
Will ) เขาได้รับสมญาว่า “เจ้าทฤษฎีแห่งอำนาจอธิปไตย”
|
|
|
|
3.1 ปัญหาหลักคือ
ลัทธิชาตินิยม และจักรวรรดินิยม
เกิดการแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
3.2 มีการแบ่งออกเป็น
2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลาง
3.3 สงครามครั้งนี้
ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ
3.4 เกิดสนธิสัญญาแวร์ซายน์และองค์การสันนิบาตชาติ
|
|
การสู้รบในมหาสงครามโลกครั้งที่ 1
|
|
4.1 ปัญหาหลักคือ
การละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายน์ของเยอรมันและการล่มขององค์การสันนิบาตชาติ
4.2 มีการแบ่งออกเป็น
2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ
4.3 สงครามครั้งนี้
ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ
4.4 เกิดองค์การสหประชาชาติและสงครามเย็น
|
สหรัฐฯ
ใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
|
|
|
|||
|
สมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (
Renaissances ) เป็นช่วงที่ยุโรปนำศิลปกรรมสมัยกรีก-โรมัน
กลับมาใช้อีก
·
ด้านประติมากรรม เน้นการแสดงสัดส่วนสรีระร่างกายมนุษย์
ผลงานสำคัญของไมเคิล แอนเจลโล ได้แก่
o
รูปสลักเดวิด ( David ) แสดงสัดส่วนและกล้ามเนื้อที่สมส่วนของร่างกาย
o
รูปสลักลาปิเอตา ( La Pieta ) เป็นรูปสลักพระมารดา
กำลังประคองพระเยซูในอ้อมพระหัตถ์ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว
ผลงานแสดงให้เห็นถึงความนุ่มนวล อ่อนไหว
·
ด้านจิตรกรรม เป็นงานแสดงถึงความนุ่มนวล
ละเมียดละไมแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์
มีการใช้สีและเงาให้เกิดแสงสว่าง ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น
เลโอนาร์โด ดาวินชี
o
ภาพอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู ( The
Last Supper )
o
ภาพโมนาลิซา ( Mona Lisa )
ราฟาเอล
o
ภาพพระแม่ พระบุตร
แสดงความรักของแม่ที่มีต่อบุตร
·
วรรณกรรมที่เป็นบทละครรับอิทธิพลของบทละครกรีก
โดยนักประพันธ์ที่มีชื่อ เช่น
วิลเลียม เชกสเปียร์ ได้แก่
โรมิโอและจูเลียต , เวนิสวานิส , คิงเลียร์
, แมคเบท , ฝันคืนกลางฤดูร้อน
ซึ่งบทละครเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ อุปนิสัย
และการตัดสินใจของมนุษย์ในภาวการณ์ต่างๆกัน
เซอร์ทอมัส มอร์ ได้แก่
ยูโทเปีย ที่กล่าวถึงเมืองในอุดมคติที่ปราศจากความเลวร้าย
|
|
รูปสลักเดวิด
รูปสลัก ลาปิเอตา La Pieta
|
|
แท่นบูชาในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์
|
|
o
สถาปัตยกรรม ได้แก่
พระราชวังแวร์ซายส์ ของฝรั่งเศส , แท่นบูชาในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ในกรุงโรม
o
ดนตรี เป็นวงดนตรีแบบออร์เคสตร้า(Orchestra)
โดยใช้ผู้เล่นและเครื่องดนตรีมากชิ้น
|
|
ศิลปะแบบนีโอคลาสสิก
o
สถาปัตยกรรม เน้นความสง่างาม
สมดุลกลมกลืนได้สัดส่วน
o
ประติมากรรม ลอกเลียนแบบประติมากรรมกรีก-โรมัน
o
จิตรกรรม เน้นเรื่องเส้นมากกว่าการใช้สี
แสดงถึงความสง่างามและยิ่งใหญ่ในความเรียบง่าย เช่น ภาพการตายของมารา ( The
Death of Marat ) โดย ชาก หลุยส์ เดวิด
o
ดนตรี นักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงคือ โมสาร์ต ชาวออสเตรีย
|
|
The Death of Marat
|
ศิลปะแบบโรแมนติก หรือจินตนิยม ( Romanticism
)
|
||
เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นศิลปะที่ให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึก และธรรมชาติ โดยลดความเชื่อในเรื่องเหตุและระเบียบแบบแผน รวมทั้งให้ความสำคัญแก่มนุษย์ในฐานะเป็นปัจเจกบุคคลมากกว่าส่วนรวม รวมทั้งแฝงความรู้สึกชาตินิยมไว้ด้วย ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเกิดศิลปะแบบโรแมนติก คือ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในสมัยนั้น โดยเฉพาะความคิดแบบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปส่งผลให้โลกทัศน์ของชาวยุโรปเปลี่ยนแปลงไป ต่างผ่อนคลายการยึดมั่นในระเบียบกฎเกณฑ์ของสมัยคลาสสิก ละทิ้งสมัยแห่งเหตุผล แต่กลับแสดงออกอย่างเสรีทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกและความต้องการของตน แม้จะไม่มีเหตุผลหรือไม่มีจริงก็ตาม
·
สถาปัตยกรรม นำรูปแบบในอดีตมาดัดแปลง
โดยได้รับอิทธิพลจากแบบโกธิก
·
ประติมากรรม เน้นการแสดงอารมณ์ความรู้สึก
เช่น
§
รูปปั้นนูนสูง มาเซเลส
ประดับฐานอนุสาวรีย์ประตูชัย ในกรุงปารีส
§
รูปปั้นสัตว์
มักเป็นรูปสัตว์ป่าสองตัวต่อสู้กัน
·
จิตรกรรม ใช้
สี เส้น แรเงา รุนแรงมุ่งให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ เช่น
§
ภาพ “อิสรภาพนำประชาชน” ( Liberty Leading
the People )
§
ภาพ “แพของเมดูซา” ( Raft of Medusa )
·
ดนตรี มีจุดมุ่งหมายที่จะเร้าความรู้สึกทางจิตใจ
เช่นความรู้สึกชาตินิยม นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงคือ เบโทเฟน ซึ่งแต่งเพลง “ซิมโฟนีหมายเลข
9” และ ปีเตอร์ อิลยิช ไชคอฟสกี ซึ่งแต่งเพลง “ซิมโฟนีหมายเลข
6” เป็นเพลงประกอบบัลเลต์เรื่อง Swan Lake
|
|
รูปปั้นนูนสูง มาเซเลส บนประตูชัยในกรุงปารีส
ภาพ "อิสรภาพนำประชาชน"
|
ศิลปวัฒนธรรมแบบสัจนิยม
|
ความหมายของศิลปวัฒนธรรมแบบสัจนิยม
ศิลปะแบบสัจนิยม ( Realism) เป็นศิลปะที่สะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างตรงไปตรงมา ไม่เน้นความรู้สึก อารมณ์ และจินตนาการของศิลปิน แต่มุ่งเสนอความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ เช่น สะท้อนสภาพความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นของชนชั้นกรรมชีพ เป็นต้น แนวทางของศิลปะแบบสัจนิยม มุ่งต่อต้านศิลปะแบบโรแมนติกที่มิได้ให้ความสำคัญต่อสภาพที่เป็นจริงของสังคม เป็นกระบวนการทางศิลปะที่เกิดขึ้นในช่วงตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ทำให้งานสร้างสรรค์ศิลปะมีประโยชน์และรับใช้มนุษย์โดยตรงมากขึ้น |
1. งานวรรณกรรม แนวสัจนิยมมีดังนี้
1. ผลงานของชาร์ลส์
ดิกแกนส์ ( Charles Dickens) ชาวอังกฤษ ในเรื่อง "โอลิเวอร์
ทวิสต์" ( Oliver Twist) สะท้อนถึงชีวิตของเด็กในสังคมอุตสาหกรรม
งานเขียนอื่นๆ
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความเลวร้ายของสังคมและความเอารัดเอาเปรียบของนายทุน
เป็นต้น
2. ลิโอ
ตอลสตอย ( Leo Tolstoy) นักเขียนชาวรัสเซีย ผลงานที่ยิ่งใหญ่ คือ
"สงครามและสันติภาพ" ( War and Peace)
3. งานเขียนประเภทสัจสังคม
( Social Realism) เป็นงานวรรณกรรมที่ได้รับอิทธิพลของลัทธิมาร์กซ์
มุ่งสะท้อนปัญหาสังคม การต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างนายทุนกับกรรมกร
ชี้นำถึงสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขตามวิธีของมาร์กซิสม์
นวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแนวนี้ คือ "แม่" ( Mother) ผลงานของแมกซิม
กอร์กี (Maxim Gorky) นักเขียนชาวรัสเซีย
4. ศิลปะนาฎกรรม
การละครแบบสัจนิยมมุ่งสะท้อนสภาพสังคมตามความเป็นจริง
เน้นให้ผู้แสดงเล่นอย่างสมจริงตามธรรมชาติ ไม่แสดงอารมณ์มากนัก
เศร้าอย่างรุนแรงแบบโรแมนติก เป็นละครแบบร้อยแก้ว
ตัวละครใช้บทเจรจาด้วยภาษาที่สมจริงตามฐานะของตัวละคร
ไม่ใช่ภาษากวีร้อยกรองเหมือนแต่ก่อน
|
2. ด้านจิตรกรรม จิตกรแนวสัจนิยมไม่นิยมเขียนภาพด้วยจินตนาการเหมือนอย่างพวกโรแมนติก
แต่จะเขียนภาพจากสิ่งที่พบเห็น เช่น ภาพชีวิตของคนยากจนในเมืองใหญ่
การใช้ชีวิตหรูหราของชนชาติกลาง ต่อมาภาพวาดมีลักษณะให้ความสำคัญกับแสง สี
และเงามากกว่าเส้น นิยมวาดทิวทัศน์ตามธรรมชาติ เรียกว่า “ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์”
|
(ทำแบบฝึกหัด 10 ข้อ )
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่ข้อขัดแย้งและความร่วมมือของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบันได้
2. วิเคราะห์ผลงานของมนุษยชาติที่เป็นแนวทางในการประสานประโยชน์ร่วมกันในปัจจุบันได้
ช่วงเวลาที่เป็น “ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน”
เริ่มนับตั้งแต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่
2 ยุติลงในปี ค.ศ.1945 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
|
|
ที่ทำการองค์การสหประชาชาติ UN
เหตุการณ์ 11 กันยายน
ค.ศ.2001
บินลาเดล ผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐฯต้องการ
|
เหตุการณ์สำคัญ มีดังนี้
·
การเกิดและสิ้นสุดของสงครามเย็น (
Cold War ) สงครามเย็น
คือการเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจสองค่าย คือ สหรัฐอเมริกาชาติผู้นำโลกเสรี
กับ สหภาพโซเวียตผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์
เกิดขึ้นภายหลังเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงใหม่ๆ โดยมีสาเหตุพื้นฐาน
เกิดจากความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งสอง
การสิ้นสุดของภาวะ “สงคราม เย็น” เกิดขึ้นในปี
ค.ศ.1991 ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
สัญลักษณ์ของสงครามเย็นสิ้นสุดลงคือ กำแพงเบอร์ลินที่กั้นระหว่างเยอรมนีตะวันตกกับเยอรมนีตะวันออกถูกพังทลายลง
·
การจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (
United Nations ) เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด
ลง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพของโลก
·
การรวมกลุ่มทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เพื่อให้ความร่วมมือและรักษาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
เช่น องค์การนาโต้ ( NATO ) กลุ่มสหภาพยุโรป ( EU ) กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
( APEC ) และองค์การการค้าโลก ( WTO ) เป็นต้น
·
สหรัฐเพิ่มบทบาทเป็นชาติผู้นำโลก โดยอ้างว่าเพื่อปราบปรามลัทธิก่อการร้ายซึ่งรุนแรงขึ้นใน
ปัจจุบัน ดังกรณีเหตุการณ์ 11 กันยายน ค.ศ.2001 โดยผู้ก่อการร้ายได้ปฏิบัติการจี้เครื่องบินพาณิชย์พุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ในนครนิวยอร์ก
ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
และสหรัฐส่งกำลังทหารและอาวุธเข้าโจมตีและยึดครองอิรัก ในเดือนมีนาคม ค.ศ.2003
โดยอ้างว่าอิรักสะสมขีปนาวุธร้ายแรงเป็นภัยต่อโลกและเพื่อปลดปล่อยอิรักจากอำนาจเผด็จการของประธานาธิบดีซัตดัม
ฮุสเซน
·
ความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาการและเทคโนโลยี
o
ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม การคมนาคมขนส่งข้ามทวีปเป็นไปอย่างรวดเร็ว
การสื่อสารข้อมูลแพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศ
โลกอันกว้างใหญ่จึงแคบลงโลกาภิวัตน์ ( Globalization ) จึงเป็นคำนิยามของโลกปัจจุบัน
o
ด้านการเมืองและการทหาร มีการนำความรู้ทางเทคโนโลยีไปใช้ผลิตอาวุธที่ทันสมัยมีการทำลายล้างสูง
o
การใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ เช่น
นำพลังงานนิวเคลียร์มาผลิตกระแสไฟฟ้า
o
ด้านการแพทย์ ทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวและสามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
o
ทำให้มีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้มากขึ้นและสิ้นเปลืองอย่างรวดเร็ว
ส่งผลต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น เกิดภาวะโลกร้อน หรือ
ภัยธรรมชาติที่รุนแรงของมนุษยชาติ เช่น สึนามิ
สีนามิถล่ม
|
|
เนื้อหาครบถ้วน
ตอบลบ