การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
ความหมายของการ “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
คือ การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการขอโลกตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 17
มีการค้นคว้างแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ โลก และจักรวาล ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง
เป็นผลให้ชาติตะวันตกพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
- การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตน มีอิสระทางความคิด
หลุดพ้นจากอิทธิพลการครอบงำของคริสต์จักร
และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
และความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น
- การพัฒนาเทคโนโลยีในดินแดนเยอรมันตอนใต้
โดยเฉพาะการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบใช้วิธีเรียงตัวอักษรขอกูเตนเบิร์ก ในปี
ค.ศ.1448 ทำให้สามารถพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้ต่าง
ๆ ได้อย่างกว้างขวาง
- การสำรวจทางทะเลและการติดต่อกับโลกตะวันออก
ตั้งแต่คริสต์สตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาทำให้อารยธรรมความรู้ต่าง ๆ จากจีน อินเดีย อาหรับ
และเปอร์เชีย เผยแพร่เข้ามาในสังคมตะวันตกมากขึ้น
ความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
- ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในสติปัญญาและความสามารถของตน
เชื่อมั่นในความมีเหตุผล และนำไปสู่การแสวงหาความรู้โดยไม่มีสิ้นสุด
- ก่อให้เกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการด้านต่าง
ๆ และทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญ
โดยเน้นศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ
- ทำให้เกิดการค้นคว้าทดลองและแสวงหาความรู้ด้านต่าง
ๆ ซึ่งนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
และเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสมัยต่อมา
- ทำให้ชาวตะวันตกมีทัศนคติเป็นนักคิด
ชอบสังเกต ชอบซักถาม ชอบค้นคว้าทดลอง เพื่อหาคำตอบ
และนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในระยะแรก
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในระยะแรก เป็นการค้นพบความรู้ทางดาราศาสตร์ ทำให้เกิดคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นการท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา สรุปได้ดังนี้
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในระยะแรก เป็นการค้นพบความรู้ทางดาราศาสตร์ ทำให้เกิดคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นการท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา สรุปได้ดังนี้
- การค้นพบทฤษฎีระบบสุริยจักรวาลของนิโคลัส (Nicholaus Copernicus) ชาวโปแลนด์
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สาระสำคัญ คือ
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ
โคจรโดยรอบ
ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสขัดแย้งกับหลักความเชื่อของคริสต์จักรอย่างมากที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
แม้จะถูกประณามอย่างรุนแรง
แต่ถือว่าความคิดของโคเปอร์นิคัสเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
ทำให้ชาวตะวันตกให้ความสนในเรื่องราวลี้ลับของธรรมชาติ
- การประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ (Telescope) ของกาลิเลโอ (Galileo
Galilei) ชาวอิตาลีในปี ค.ศ. 1609 ทำให้ความรู้เรื่องระบบสุริยจักรวาลชัดเจนยิ่งขึ้น
เช่น ได้เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของดวงดาว
และได้เห็นพื้นขรุขระของดวงจันทร์ เป็นต้น
- การค้นพบทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์
ของโจฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes
Kepler) ชาวเยอรมัน ในช่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สรุปได้ว่า
เส้นทางโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์เป็นรูปเข่หรือรูปวงรี
มิใช่เป็นวงกลมตามทฤษฎีขอโคเปอร์นิคัส
การเสนอวิธีสร้างความรู้แบบวิทยาศาสตร์
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17
มีนักคณิตศาสตร์ 2 คน ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับวิธีสร้างความรู้เพื่อการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังนี้
มีนักคณิตศาสตร์ 2 คน ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับวิธีสร้างความรู้เพื่อการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังนี้
- เรอเนส์ เดส์การ์ตส์ (Rene Descartes) ชาวฝรั่งเศส
และเซอร์ ฟรานซิส เบคอน (Sir Francis Bacon) ชาวอังกฤษ
ได้ร่วมกันเสนอหลักการใช้เหตุผล วิธีการทางคณิตศาสตร์ และการค้นคว้าวิจัยมาใช้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแสวงหาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์
- ความคิดของเดส์การ์ตส์
เสนอว่าวิชาเรขาคณิตเป็นหลักความจริง
สามารถนำไปใช้สืบค้นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้
ซึ่งได้รับความเชื่อถือจากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยต่อมาเป็นอย่างมาก
- ความคิดขอเบคอน
เสนอแนวทางการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ “วิธีการทางวิทยาศาสตร์”
เป็นเครื่องมือศึกษา
ทำให้วิทยาศาสตร์ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
การจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
- การเสนอทฤษฏีการศึกษาค้นคว้าด้วย “ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ”
ทำให้เกิดความตื่นตัวในหมู่ปัญญาชนของยุโรป
มีการจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นในประเทศต่าง ๆ หลายแห่ง
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อสนับสนุนงานวิจัย
การประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ
และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าโดยลำดับ
- ความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักประดิษฐ์นำไปสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่าง
ๆ มากมาย
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นรากฐานของความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง
ๆ จึงมีผู้กล่าวว่ากรปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นยุคแห่งอัจฉริยะ (The
Age of Genius) เพราะมีการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ
เกิดขึ้นมากมาย
การค้นพบ “กฎแห่งความโน้มถ่วง” ของนิวตัน
- การค้นพบความรู้หรือทฤษฎีใหม่ของ เซอร์
ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac
Newton) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ในตอนปลายคริสต์สตวรรษที่ 17
มี 2 ทฤษฏี คือ กฎแรงดึงดูดของจักรวาลและกฎแห่งความโน้มถ่วง
- ผลจากการค้นพบทฤษฏีทั้งสองดังกล่าว
ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดโลกและดาวเคราะห์จึงหมุนรอบดวงอาทิตย์
และดวงจันทร์จึงหมุนรอบโลกได้โดยไม่หลุดจากวงโคจร และสาเหตุที่ทำให้วัตถุต่าง
ๆ ตกจากที่สูงลงสู่พื้นดินโดยไม่หลุดลอยไปในอวกาศ
- ความรู้ที่พบกลายเป็นหลักของวิชากลศาสตร์
ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าในเรื่องราวของเอกภพสะสาร พลังงาน เวลา
และการเคลื่อนตัวของวัตถุในท้องฟ้า
โดยใช้ความรู้และวิธีการทางคณิตศาสตร์ช่วยค้นหาคำตอบ
ผลจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17
- การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นสาเหตุผลักดันให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทำให้ประเทศต่าง ๆ
ในยุโรปพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านการผลิตจนกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก
- การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิด “ยุคภูมิธรรม” หรือ “ยุคแห่งการรู้แจ้ง” ทำให้ชาวตะวันตกเชื่อมั่นในเหตุผล ความสามารถ และภูมิปัญญาของตน
เชื่อมั่นว่าโลกจะก้าวหน้าพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
มีความมั่นในว่าจะสามารถแสวงหาความรู้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด
โดยอาศัยเหตุผลและสติปัญญาของตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น